การทำบุญ กับการสร้างบุญ ต่างกันอย่างไร?

การทำบุญ กับการสร้างบุญ ต่างกันอย่างไร?

หลวงพ่อตอบคำถาม
 
 
 หลวงพ่อตอบคำถาม ของ ศาสตราจารย์ ดร. นากาโซเน่ จากสหรัฐอเมริกา ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ณ วัดอัมพวัน

ศาสตราจารย์ ดร.จีระโชค วีระสัย ถ่ายทอดคำสัมภาษณ์

                       หลายปีมาแล้วที่หลวงพ่อท่านเป็นที่สนใจของชาวต่างประเทศ มีการมากราบเรียนถามปัญหาพระเดชพระคุณหลายครั้ง ซึ่งรองศาสตราจารย์ ดร.พินิจ รัตนกุล ได้ถอดเทปคำถาม-คำตอบ เรียบเรียงและพิมพ์เผยแพร่มาแล้ว ครั้งนี้คณะของศาสตราจารย์ ดร.นากาโซเน่ ผู้ทำงานเกี่ยวกับการสอนศาสนศึกษา จากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มากราบเรียนถามปัญหาพระเดชพระคุณอีก จึงได้เรียบเรียงคำถาม-คำตอบ พิมพ์เผยแพร่เช่นที่เคยทำมา หลังจากศาสตราจารย์ ดร. นากาโซเน่ แนะนำผู้ร่วมคณะแล้ว ได้กราบเรียนถามถึง ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาว่าควรจะเป็นอย่างไร

                      พระเดชพระคุณแสดงความเห็นว่า จะเป็นศาสนาคริสต์ พุทธ ฮินดู คาทอลิค หรืออิสลาม ก็ไม่มีปัญหาอะไร สำหรับพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนเป็นวิทยาศาสตร์ หลักพุทธใช้หลักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้จะเรียกว่า พุทธะ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และผู้รู้ไม่ได้ การรู้นั้นรู้ทั้งภายในและภายนอก ทุกศาสนาจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม หรือศาสนาอะไร สามารถเข้ากันได้แน่นอน เหมือนเราคนละรสคนละชาติคนละศาสนา แต่รับประทานอาหารร่วมกันได้ ทำงานร่วมกันได้ ไม่มีอะไรขัดแย้งกันแต่ประการใด เพราะมีจุดมุ่งหมายที่ต้องการสร้างสรรคืให้คนเป็นคนดีเหมือนกันจึงเข้ากันได้ ในเรื่องสันติภาพ

                      หลวงพ่ออธิบายว่า สันติ แปลว่า ความหยุด คนที่จะมีสันติได้จะต้องมีสติสัมปชัญญะ คนที่ขาดสติสันติจะไม่มี มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ทะเลาะวิวาทกัน

                      สันติ ตัวนี้แปลว่าต้องมี สติสัมปชัญญะ สติระลึกได้ สัมปชัญญะมีความรู้ตัว สำหรับเรื่องการนำชิ้นส่วนมาทำให้มีชีวิตขึ้นมาใหม่ ที่เรียกว่าทำเทียมหรือโคลนนิ่ง มีปัญหาว่าวิญญาณหรือความรู้สึกต่าง ๆ จะเหมือนกับตัวจริงดั้งเดิมไหม หลวงพ่อตอบอย่างชัดเจน เรียบง่ายว่า จะเหมือนกันไม่ได้ ถึงแม้รูปร่างเหมือนกัน แต่วิญญาณของคนที่จะเข้าสิงสถิตเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว วิญญาณจะดีจะชั่วขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำมา เพราะฉะนั้นคนเราจึงมีนิสัยเหมือนกันไม่ได้ ในเรื่องการทำสติหรือการตั้งสมาธิมีผลอย่างไรนั้น หลวงพ่ออธิบายว่า สมาธิมีทั้งทางโลกและทางธรรม ถ้าขาดสติ ปัญญาจะไม่เกิด เกิดแต่สมาธิอย่างเดียว กฎแห่งกรรมจึงบอกไว้ชัดเจนว่า ทำดีสมาธิจะดันไปทางดี ทำชั่วสมาธิจะดันไปทางชั่ว อำนาจของสมาธิที่มีปัญญาทางโลก ขาดปัญญาทางธรรม ก็คือขาดสติสัมปชัญญะ

                    สติสัมปชัญญะคือคุณภาพและคุณธรรม ทำให้คนมีปัญญาต่างกัน ปัญญาทางโลกเรียกว่า โลกียปัญญา

ปัญญาทางธรรมเรียกว่า โลกุตรปัญญา ซึ่งแปลว่าปัญญาที่สามารถกำจัดความชั่วให้หมดจากตัวได้ การทำสมาธิ การตั้งสติ จึงมีผลดังกล่าวนี้

                     ท้ายที่สุดหลวงพ่อท่านแสดงความกังวลเรื่องศาสนาพุทธว่า ยังมีชาวพุทธที่รู้ไม่จริง ยังมีพระสงฆ์ที่บวชไม่ได้ผล สึกมาแล้วไม่รู้เรื่องพุทธศาสนา ยังมีชาวพุทธที่รู้แต่เพียงว่าข้าวขัน แกงโถ ไปทำบุญตักบาตร ทอดกฐิน ผ้าป่า เป็นบุญ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น นั่นเป็นการทำบุญแต่ไม่ได้สร้างบุญ ไม่ได้สร้างความสุขให้เกิดในใจเลย ไปทำบุญวัดโน้น ทำบุญวัดนี้ ทัวร์บุญไป แต่กลับจากทำบุญทัวร์บุญแล้วไม่มีความสุข บุญตัวนี้แปลว่าความสุข ถ้ามีบุญบ้านนั้นจะต้องมีความสุขทั้งครอบครัว ไม่มีการทะเลาะวิวาทกันเลย ทั้งพุทธศาสนาสอนให้ช่วยตัวเอง สอนให้พึ่งตัวเอง สอนให้แนะแนวตัวเองให้ดี เดินทางสายกลางโดยเดินตามกฎ โดยไม่ผิดพลาดในทางเดิน..

 

เครดิต ข้อมูลจาก th.wikibooks.org/wiki/หลวงพ่อตอบคำถาม

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้