พรหมวิหารเป็นกรรมฐานเย็น
สำหรับพรหมวิหาร ๔ นี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เป็นกรรมฐานกลาง จริงๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า พรหมวิหาร๔ ย่อมเป็นกำลังของฌาน เป็นอาหารของศีล และเป็นอาหารของวิปัสสนาฌานทั้งนี้ก็เพราะว่า พรหมวิหาร ๔ เป็นกรรมฐานเย็นคือต้นเหตุของพรหมวิหาร ๔ ก็คือ
๑. ความรัก เมื่อมีความรักที่ไหน ต่างคนต่างรักกัน ใจก็เย็น และ
๒. พรหมวิหาร ๔ ที่เรียกกันว่า กรุณา มีความสงสาร ถ้าทุกคนต่างคนต่างก็มีความ
สงสาร เกื้อกูลกันและกัน สงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ก็เป็นอานมณ์เย็น ความเร้าร้อนมันก็ไม่มี
๓. มุทิตา พรหมวิหาร ๔ มีปัจจัยให้เกิดความไม่อิจฉาริษยาซึ่งกันและกัน มีการเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน และก็มีใจดี คือยินดีในบุคคนอื่นได้ดี เมื่อเห็นใครเขาได้ดี
แล้วเรายินดีด้วย ดีใจด้วย พร้อมรับความดีของผู้ที่ทรงความดีแล้วมาปฏิบัติ เพื่อผลของความดีของตน อันนี้อีกประการหนึ่งเป็นปัจจัยให้มีความเยือกเย็น และ
๔. พรหมวิหาร ๔ มี อุเบกขา คำว่าอุเบกขาในที่นี้แบ่งเป็นหลายหย่าง แต่จะพูด
สั้นๆ ไว้ก่อน นั้นก็คือมีอาการวางเฉยต่ออารมฌ์ที่เข้ามากระทบใจ หมายความว่า
ใครเขาจะด่า ใครเขาจะว่า เขาจะนินทา เราก็เฉย จิตสบาย ใครเขาจะชม เขาจะสรรเสริญ เราก็เฉยไม่รู้สึก คำว่าไม่รู้สึกงลอยไปตามถ้อยคำของบุคคลนั้น.
จิตมีความเป็นปกติ. ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ก็เป็นอาการของความสุข รวมความว่าพรหมวิหาร ๔ นี้เป็นอารมฌ์เป็นปัจจัยให้เกิดสุข นี่การบำเพ็ญบุญในพระพุทธศาสนาเราทำกันเพื่อความสุข คือสุขทั้งที่มีชีวิตอยู่แล้วก็สุขเมื่อตายไปแล้ว เมื่อเรา มีชีวิตอยู่เรามีความสุข ตายไปเกิดที่ไหนก็ตามมันก็มีความสุข ฉะนั้นพรหมวิหาร ๔ นี้จึงชื่อว่าเป็นอาหารใหญ่สำหรับใจในด้านของความดีคนที่มีพรหมวิหาร ๔ สมบูรณ์ ย่อมมีศิลบริสุทธ์คนที่มีพรหมวิหาร ๔ สมบูรณ์ย่อมมีสมาบัติตั้งมั่น คนที่มีพรหมวิหาร ๔ สมบูรณ์ เพราะอาศัยใจเยือกเย็นปัญญาก็เกิด
คำสอน
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
จากหนังสือ พ่อรักลูก ๒ หน้า ๒๓ -๒๕